แถลงการณ์จากศูนย์ประสานงานเพื่อการปฏิรูปสื่อ ฉบับที่ ๒
เรื่อง ชี้แจงความจริง กรณี กสทช.บิดเบือนข้อมูล และใส่ร้ายวิทยุภาคประชาชน
ตามที่ พันเอกนที ศุกลรัตน์ ได้ร่วมรายการตอบโจทย์ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อคืนวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ โดยมีใจความตอนหนึ่งได้พาดพิงถึงสถานีวิทยุของพระสงฆ์องค์เจ้าทำให้เกิดความเสียหาย โดยบิดเบือนความจริงว่า พระจะทำตามความต้องการของตนเองไม่ได้ เช่น อยากได้กำลังส่งของวิทยุ ๒-๓ หมื่นวัตต์ ขอให้พระเสียสละบ้าง นั้น
คำกล่าวของ พ.อ.นทียังความสะเทือนใจให้กับสาธุชนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบรรดาศิษยานุศิษย์พระกรรมฐานผู้รักและเทิดทูนการปฏิบัติจิตตภาวนาว่า เป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดในชีวิตมนุษย์ชาติหนึ่ง ๆ และเนื่องจากการที่องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้มีหนังสือถึง กทช. ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ เพื่อแจ้งความประสงค์ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงภาคประชาชนระดับชาตินั้น องค์หลวงตาฯ ตั้งใจทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์และประชาชนไม่ได้ทำไปเพราะความเห็นแก่ตัว องค์หลวงตาฯได้มีความเสียสละอย่างที่สุดจนเป็นที่ประจักษ์ในสายตาของชาวไทยและชาวโลกอย่างชัดเจน
โดยข้อเท็จจริงเครือข่ายสถานีวิทยุเสียงธรรมมีองค์ประกอบของความเป็นวิทยุภาคประชาชนที่ถูกต้อง เป็น “ชุมชนผู้มีความสนใจในธรรมะคำสอนของพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” ที่มีพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. ๒๕๕๓ รองรับ อีกทั้งเนื้อหาสาระที่ออกอากาศกระจายเสียงจากเครือข่ายวิทยุเสียงธรรมฯ ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัย มีแต่สาระประโยชน์ให้เข้าสู่จิตใจสาธุชนทั้งหลาย นอกจากนี้ กิจการของเครือข่ายวิทยุเสียงธรรมฯ ดำเนินได้ด้วยเงินบริจาคของประชาชน ไม่ได้อาศัยเงินจากการโฆษณาเพื่อแสวงหากำไรในทางธุรกิจ
การเรียกร้องของมูลนิธิเสียงธรรมฯ ก็เรียกร้องเพื่อให้เกิดความทัดเทียมกับสถานีวิทยุภาครัฐ (คลื่นรายเดิม) เป็นสำคัญ หากคลื่นรายเดิมมีขนาดเล็กก็เล็กด้วยกัน หรือใหญ่ก็ใหญ่ด้วยกันเป็นไปอย่างเสมอภาค การที่ กสทช.เลือกปฏิบัติให้คลื่นรายเดิมใหญ่กว่า ๒-๓ หมื่นวัตต์ เสาสูงกว่า ๓๐๐ เมตรได้ แต่ไม่ยอมให้คลื่นธรรมะได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกันนั้น เท่ากับ กสทช. มีเจตนาบ่อนทำลายความมั่นคงในสถาบันหลักของชาติอย่างแท้จริง
การที่สถานีวิทยุภาคประชาชนโดยเฉพาะคลื่นธรรมะ จะมีกำลังส่งสูงทัดเทียมกับสถานีวิทยุภาครัฐ (คลื่นรายเดิมจำนวน ๓๑๔ สถานี ที่ กสทช. เลือกปฏิบัติปกป้องผลประโยชน์เสมอๆ) หรือการที่สถานีวิทยุภาคประชาชนที่มีบัญญัติเรื่องพื้นที่กระจายเสียงไว้ชัดเจนในกฎหมาย จะมีสิทธิทัดเทียมกับวิทยุภาคธุรกิจในระดับชาติ ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายที่รับรองเอาไว้แล้ว
การที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ยินดีสร้างกรรมด้วยการไม่อนุโมทนากับวิทยุเสียงธรรมฯ ย่อมเป็นเรื่องที่คิดอกุศลได้แต่ไม่มีสิทธิ์ทำเพราะมีกฎหมายบังคับไว้ เนื่องจากในปัจจุบันพ.อ.นที กินเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชน เดือนละเกือบสี่แสนบาท เพื่อให้ทำหน้าที่ กสทช. และประธาน กสท. ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมาย ที่จะต้องเร่งจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงให้กับภาคประชาชนอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ และเร่งรัดให้ใบอนุญาตแก่ผู้มีความพร้อม เช่น เครือข่ายวิทยุเสียงธรรมฯ เป็นต้น แต่ พ.อ.นที กลับบิดเบือนข้อเท็จจริงและหันมาโจมตีประชาชนที่มาใช้สิทธิตามกฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ละเว้นแม้แต่พระสงฆ์องคเจ้านั้น จึงเป็นสิ่งที่น่าละอายเป็นอย่างยิ่ง
ท้ายที่สุดนี้ ศูนย์ประสานงานเพื่อการปฏิรูปสื่อ จึงขอเรียกร้องให้ กสทช.ยุติการบิดเบือนข้อมูล และการใส่ร้ายวิทยุภาคประชาชน และขอให้เร่งรัดทำการปฏิรูปสื่อ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายที่บัญญัติ ที่ต้องการให้คลื่นความถี่ซึ่งเป็นสมบัติของชาติได้รับการจัดสรรเพื่อธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติอย่างแท้จริง
(นางสาวจุฑารส พรประสิทธิ์)
ตัวแทนศูนย์ประสานงานเพื่อการปฏิรูปสื่อ
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|