การวิจัยเรื่อง พฤติกรรมการรับฟังรายการวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz(บ้านตาด) ของประชาชนในจังหวัดอุดรธานี 1. วัตถุประสงค์การวิจัย 1.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการรับฟังรายการวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz (บ้านตาด) ของประชาชนในจังหวัดอุดรธานี 1.3 เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการรับฟังรายการวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz (บ้านตาด) ของประชาชนในจังหวัดอุดรธานี 2. วิธีการดำเนินการวิจัย 2.1 ได้ศึกษาเอกสารตำรา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลในการสร้างเครื่องมือ 2.2 กำหนดโครงร่างของแบบสอบถามตามประเด็นสำคัญของจุดมุ่งหมายและขอบเขตการศึกษา 2.3 ร่างแบบสอบถามเสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบ แก้ไข แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขตาม ข้อเสนอแนะ 2.4 เสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมจนถูกต้องสมบูรณ์ แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ แบบสอบถาม (Questionnair) ที่สร้างขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าและดัดแปลงจากเอกสารและงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และมีความสอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในการวิจัย แบ่งออกเป็น 4 ตอน คือ ตอนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 5 ข้อ ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับฟังรายการวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz (บ้านตาด) ของผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 4 ข้อ ตอนที่ 3 แบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจในการรับฟังรายการวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz (บ้านตาด) ของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยแยกเป็น 1. ด้านเทคนิค จำนวน 9 ข้อ 2. ด้านผู้ประกาศ จำนวน 10 ข้อ 3. ด้านการ ผลิตรายการ จำนวน 10 ข้อ เกณฑ์การให้คะแนนเพื่อการวิเคราะห์ จากคำตอบตอนที่ 3 ให้ค่าคะแนนดังต่อไปนี้ 5 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก 3 หมายถึง ระดับความพึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย 1 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด 4. ด้านการนำไปใช้ประโยชน์ จำนวน 4 ข้อ ตอนที่ 4 แบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ ต่อรายการวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz (บ้านตาด) เป็นแบบคำถามปลายเปิด จำนวน 5 ข้อ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4.1 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก ตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับทำการศึกษาวิจัย 4.2 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจากจำนวนที่กำหนด ซึ่งการเก็บตัวอย่างทำโดยการแจกแบบสอบถามแก่กลุ่มประชาชนตามหมู่บ้าน อำเภอ และเขตเมืองของจังหวัดอุดรธานี ใช้เวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2549 ถึง กันยายน 2549 โดยคณะผู้วิจัยได้แจกแบบสอบถาม ด้วยตนเอง และได้ชี้แจงข้อมูลในการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียด 4.3 คณะผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมแบบสอบถามที่ได้จากการตอบคำถามทั้งหมด จำนวน 400 ชุด ได้รับคืนจำนวน 400 ชุด คิดเป็นร้อยละ 100 5. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชากรในจังหวัดอุดรธานี จำนวน 383,609 คน จำแนกเป็นชาย 220,657 คน หญิง 162,952 คน (ข้อมูลพื้นฐานจังหวัดอุดรธานี
www.dopaud.go.th/ amphur/index.php) โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือประชาชนในจังหวัดอุดรธานี ปี พุทธศักราช 2549 จำนวน 400 คน ชาย 197 คน หญิง 203 คน อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป โดยสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก โดยบังเอิญ ที่รับฟังรายการวิทยุวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz (บ้านตาด)
6. สรุปผลการวิจัย 8. ข้อเสนอแนะ 8.1 ข้อเสนอแนะทั่วไป 8.2 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 8.2.1 ควรศึกษาวิจัยเรื่องพฤติกรรมการรับฟัง 8.2.2 ควรศึกษาวิจัยเรื่องธรรมะกับการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของเยาวชนไทย 8.2.3 ควรศึกษาวิจัยเรื่องความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อบทบาทของสถานีวิทยุเสียงธรรมในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา 8.2.4 ควรศึกษาวิจัยเรื่องความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อบทบาทของสถานีวิทยุเสียงธรรมในการประชาสัมพันธ์ด้านศาสนา
8.1.1 ข้อเสนอแนะสำหรับรูปแบบรายการวิทยุวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz (บ้านตาด) รูปแบบรายการไม่ควรจะซ้ำซาก และควรจะมีอะไรที่แปลกใหม่ เพื่อจะได้ดึงดูดให้ผู้ฟังสนใจในเรื่องธรรมะมากขึ้น
จากการศึกษาวิจัยเรื่องพฤติกรรมการรับฟัง
6.1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับฟัง
6.2 พฤติกรรมการรับฟัง
6.3 ความพึงพอใจด้านเทคนิคในการ
6.4 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ อื่นๆ พบว่าส่วนใหญ่ต้องการให้สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน ปรับปรุงไปในทางการผลิตรายการที่แปลกใหม่ ส่งเสริมเยาวชนของชาติให้รู้จักการมีมารยาท คุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม ด้านเทคนิคมีความพร้อมอยู่แล้ว แต่ควรปรับปรุงด้านความชัดเจนของเทปบันทึกเสียง กัณฑ์เทศน์ ด้านผู้ประกาศมีความเห็นว่า ผู้ประกาศบางคนยังออกเสียงคำควบกล้ำไม่ถูกต้อง ควรปรับปรุง แต่บางคนพูดเสียงชัดเจนดีมาก พูดนำเข้ารายรายการและพูดสรุปหลังรายการได้ดี ชวนให้อยากรับฟังอย่างต่อเนื่อง ด้านการผลิตรายการ มีความคิดเห็นว่า อยากให้ผลิตรายการเกี่ยวกับธรรมะอย่างนี้ตลอดไป เพราะมีประโยชน์มาก ควรปรับปรุงการผลิตรายการให้แปลกใหม่ ส่งเสริมเยาวชนของชาติให้รู้จักการมีมารยาท คุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม และด้านอื่นๆ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ได้ประโยชน์
จากการฟังรายการวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนมาก สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ชีวิตมีสุข
7. อภิปรายผลการวิจัย
7.1 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับฟัง
7.2 พฤติกรรมการรับฟัง
และอิทธิพลต่อทัศนคติด้านการเมือง จึงจะเห็นได้ว่าคนที่นับถือศาสนาต่างกันจะมีความคิด ความเชื่อ ค่านิยม และพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป แนวความคิดนี้แสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะทางประชากรที่แตกต่างกัน จะเป็นตัวกำหนดให้พฤติกรรมในการเปิดรับรายการวิทยุกระจายเสียงต่างกัน ความพึงพอใจและการใช้ประโยชน์ก็จะแตกต่างกันไปตามลักษณะทางกายภาพ การศึกษาและสถานภาพทางสังคม และสอดคล้องกับความคิดเห็นของกฤช ปุณณกันต์ อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ (2520 : 5) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวิทยุกระจายเสียงไว้ว่า “เราทราบกันดีแล้วว่า วิทยุกระจายเสียง คือ สื่อมวลชนประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นพาหะที่อานุภาพยิ่ง ทั้งในความรวดเร็วและรัศมีไกล ใครก็ตามที่ดำรงอยู่ในรัศมีครอบคลุม คือ ผู้ฟังของท่าน ทั้งสิ้น ผู้ผลิตวิทยุกระจายเสียงที่ดีเปรียบเสมือนพ่อครัวที่มีฝีมือย่อมไม่ผลิตรายการด้วยฝีมือตนแต่ฝ่ายเดียว แต่ต้องคำนึงถึงรสนิยม และความต้องการของผู้ฟังทั้งหลายด้วย
7.3
7.4 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ อื่นๆ พบว่าส่วนใหญ่ต้องการให้สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อ
ประชาชน ปรับปรุงไปในทางการผลิตรายการที่แปลกใหม่ ส่งเสริมเยาวชนของชาติให้รู้จักการมีมารยาท คุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม ด้านเทคนิคมีความพร้อมอยู่แล้ว แต่ควรปรับปรุงด้านความชัดเจนของเทปบันทึกเสียง กัณฑ์เทศน์ ด้านผู้ประกาศมีความเห็นว่า ผู้ประกาศบางคนยังออกเสียงคำควบกล้ำไม่ถูกต้อง ควรปรับปรุง แต่บางคนพูดเสียงชัดเจนดีมาก พูดนำเข้ารายรายการและพูดสรุปหลังรายการได้ดี ชวนให้อยากรับฟังอย่างต่อเนื่อง ด้านการผลิตรายการ มีความคิดเห็นว่า อยากให้ผลิตรายการเกี่ยวกับธรรมะอย่างนี้ตลอดไป เพราะมีประโยชน์มาก ควรปรับปรุงการผลิตรายการให้แปลกใหม่ ส่งเสริมเยาวชนของชาติให้รู้จักการมีมารยาท คุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม และด้านอื่นๆ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ได้ประโยชน์จากการฟังรายการวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนมาก สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ชีวิตมีความสุข แสะสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ พิรงรอง รามสูตรณะนันท์และศศิธร ยุวโกศล (2546 : บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่อง “การกำกับดูแลเนื้อหาของสื่อวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ในประเทศไทย” สรุปได้ว่า ข้อเสนอแนะและแนวทางนโยบายสำหรับการกำกับดูแลเนื้อหาของสื่อวิทยุและโทรทัศน์ออกได้เป็นประเด็นต่างๆ ได้แก่ วัตถุประสงค์ในการกำกับดูแลเนื้อหาของสื่อวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ควรปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวในสังคมที่เปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้นที่เสรีภาพในกาแสดง ออก การรับรู้ข่าวสาร สิทธิส่วนบุคคล การผลิตรายการที่แปลกใหม่ และให้ได้มาตรฐานของเนื้อหา
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|